วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3
วันพุธ ที่ 31 เดือน มกราคม พ.ศ. 2561
เนื่อหาในการเรียนรู้ในวันนี้

    วันนี้จะมีการเรียนในหัวข้อ เรื่อง บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร

  • บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์ เมื่อกล่าวถึงผู้นำคนส่วนใหญ่ก็จะนึกผู้ที่มีอะนาจใหญโต ผู้ที่มีอิทธิพล แต่ผู้นำก็ยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกภาระ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ
  • ประเภทของผู้นำ คือ บุคคลที่มัศิล บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป 
  1. ผู้นำอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่และอำนาจบารมี เป็นเครื่องมือที่มีทั้งทางการและไม่เป็นทางการ จะแบ่งออกเป็น 3 แบบ
  •  ผู้นำแบบใช้พระเดช ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมาย เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น หมดวาระอำนาจก็จะหมดไป
  • ผู้นำแบบใช้พระคุณ  (Charismatic Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ได้มาจากแรงศรัทธาที่ก่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับเกิดความเคารพนับถือและเป็นพลังได้แก่ มหาตมะคันธี

                                       
  • ผู้นำแบบพ่อพระ  (Symbolic Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา หรือสัญญาลักษณ์ในตัวของผู้นั้นมากกว่า เช่น พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ประมุขและสัญลักษณ์ของแรงศรัทธาของประชาชนไทยทั้งมวล

2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ

2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการOne Man Show 
        2.2  ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership กระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย
        2.3  ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้   ฉะนั้น   นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก 

3.  ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก  จำแนกเป็น  3 แบบ คือ
  
     3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก
     3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้
    3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ )  ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ

ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัย Michigan ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้นำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. ผู้นำที่มุ่งคน (Employee Oriented) เน้นบุคคล
2. ผู้นำที่มุ่งงาน (Production Oriented) ไม่สนใจคนเน้นงาน

ภาวะผู้นำ (Leadership)
      ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย
1. ตัวผู้นำ 2. ผู้ตาม 
3. จุดหมาย 4. หลักการและวิธีการ 
5. สิ่งที่จะทำ 6. สถานการณ์
  1.  ผู้นำโดยกำเนิด ผู้นำประเภทนี้ เกิดมาก็มีคุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ
  2. ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ ผู้นำประเภทนี้เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะบุคคลในตอนเริ่มต้นของชีวิตในระยะแรก ๆ ก็เหมือนกับบุคคลทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา
  3. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่เกิดจากการได้รับการแต่งตั้งตามสายงานการบริหาร 
  4. ผู้นำตามสถานการณ์ เป็นผู้นำที่เกิดขึ้นแบบมีทีมงานเป็นส่วนใหญ่ มีความใฝ่ใจสูง เน้นการบริหารงานให้ได้ทั้งคนและทั้งงาน 
       สรุป ผู้นำยุคใหม่ ก้าวไกลสู่สากล จึงจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความคิดดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดีงาน (business mind, social heart) พร้อมที่จะรับฟัง ยอมรับ และใส่ใจผู้อื่นผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่หัวใหญ่ (Head) ใจโต (Heart) มือกว้าง (Hand) และร่างสมาร์ท (Health)

ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 
  1. ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ  (Line Manager) 
  2. ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ  (Staff  Manager) 
  3. ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน  (Functional Manager) 
  4. ผู้บริหารทั่วไป  (General Manager) 
  5. ผู้บริหาร (Administrator) 
ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่
    ผู้บริหารและการบริหารทุกระดับ ใช้ทักษะ (Skill)  ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสู่ระดับบริหารที่สูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ
  1. ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First – Line Manager
    ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ จึงไม่ถึงขีดขั้นที่จะเข้าระดับ “ผู้จัดการ” 
  2. ผู้บริหารระดับกลาง  (Middle Managers) ได้แก่ตำแหน่ง ผู้จัดการโรงงาน   ผู้จัดการฝ่ายผลิต หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด 
  3.  ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)  ได้แก่  ตำแหน่ง  ประธานกรรมการบริษัท  ประธานบริษัท  ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน  
การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย
       ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การขั้นพื้นฐาน คนเงิน  วัตถุดิบ  และทุน เป้าหมายของผู้บริหารทุกคนคือการทำให้เกิดผลกำไรและเพิ่มผลผลิต  (ผลิตภาพ)  

ระบบการบริหาร  (Management System) 
        ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
  1.    ระบบเปิด  (Open system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก
  2. ระบบปิด  (Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ 
หลักในการจัดรูปแบบของการบริหารงานยุคใหม่ 
     รูปแบบที่  1 บริหารงานแบบอัตตาธิปไตย  คือ  การถือตนเอง  ความคิดเห็นหรือวิธีการของตนเองเป็นใหญ่  
     รูปแบบที่  2 บริหารงานแบบโลกาธิปไตย  คือ การถือคนอื่นเป็นใหญ่  ไม่มีจุดยืนของตนเอง  ขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าตัดสินใจ 
     รูปแบบที่  3  บริหารงานแบบธรรมาธิปไตย  คือ การถือธรรมหรือหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ  ยึดเอาความสำเร็จของงานส่วนรวมเป็นที่ตั้ง (RBM: Result Based Management) 

ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร
    การวางแผน (Planning)  เป็นการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ต่าง ๆ และจัดทำแผนงานเพื่อประสานกิจกรรมต่าง ๆ 
    การจัดองค์การ  (Organizing) เป็นการพิจารณาถึงงานที่จะต้องกระทำ ใครเป็นผู้ทำงานนั้น ๆ 
    การชักนำ  (Leading)  เป็นการนำและจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา การสั่งการ การเลือกช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
    การควบคุม  (Controlling)  เป็นการตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้ 


บทบาททางการบริหาร (Management Roles) 
  1. บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Interpersonal  roles) ได้แก่ 
      - ประธาน (Figurehead) 
      - ผู้นำ  (Leadership)  
      - ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson) 


      2. บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่ 


      - ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor) 
      - ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator) 
      -  โฆษก  ประชาสัมพันธ์  (Spokesperson) 

     3. บทบาทด้านการตัดสินใจ  (Decision roles) ได้แก่
     -   ผู้ประกอบการ  (Entrepreneur) 
     - ผู้ขจัดความขัดแย้ง  (Disturbance Handler) 
     - ผู้จัดสรรทรัพยากร  (Resource Allocate) 
     -   ผู้เจรจาต่อรอง  (Negotiator) 

     สรุป  จากการสำรวจ  ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกัน  คือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) ซึ่งก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่าผู้อื่น จะเน้นกิจกรรมด้าน Networking มากที่สุดทำกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์น้อยที่สุด ส่วนผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผล (Effective Manager) ซึ่งพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงานเป็นเครื่องวัดนั้น จะเน้นด้านการติดต่อสื่อสาร (Communication) การบริหารทรัพยากรมนุษย์และงานด้านการบริหารตามลำดับ ส่วนกิจกรรมด้าน networking จะทำน้อยที่สุด 
การนำเสนอคำคมของผู้บริการ





การนำมาประยุกต์ใช้

     - สามารถนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาในอนาคตข้างหน้าได้

บรรยากาศภายในห้องเรียน

    - เป็นกันเอง ห้องเรียนสะอาด แอร์เย็น บรรยากาศน่าเรียน

การจัดการเรียนการสอน

    - เตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี ฝึกให้นักศึกษาเกิดความคิดในสิ่งที่ได้เรียนผ่านมา

ประเมินตนเอง

    - ตั้งใจฟังในขณะที่เพื่อนเล่าประสบการณ์และอาจารย์สอน

ประเมินเพื่อน

    - ตั้งใจฟังในขณะที่เพื่อนเล่าประสบการณ์และอาจารย์สอน

ประเมินอาจารย์

    - แต่งกายสุภาพ น้ำเสียงในขณะสอนเสียงดังฟังชัด







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 15 วันพุธที่ 18 เมษายน  พ.ศ. 2561 เนื้อหาที่เรียน  ความรู้ที่ได้รับ       กิจกรรมการเรียนการสอนวันน...